การเริ่มต้นเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ภายใน 20 ชั่วโมงแรก
ขอเริ่มจาก การสัมนา ของคุณ Josh Kaufman จาก TEDxCSU
ซึ่งคนนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากจะ มอบความรู้ดีๆ และสนุกอีกด้วย
ส่งต่อออกไปให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่อาจจะไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษได้มาเรียนรู้กันนะคะ
( ฝากติดตามบทความต่อๆไปได้ที่ FB : The Magic Dragon )
https://www.facebook.com/pages/The-Magic-Dragon/680629378695526?sk=timeline
The first 20 hours -- how to learn anything | Josh Kaufman | TEDxCSU
การสัมนาในวันนี้ ว่าด้วยการเริ่มต้นเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ภายใน 20 ชั่วโมงแรกค่ะ
ในคลิปนี้ คุณ Josh เปิดเรื่องได้อย่างน่าสนใจว่า
เมื่อสองปีที่แล้ว ชีวิตของเขาได้เปลี่ยนไปแล้วตลอดกาล
เมื่อลูกสาวตัวน้อยได้ถือกำเนิดขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวของเขา
มีการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วข้่ามคืน การลำดับความสำคัญในชีวิต ต้องคิดใหม่หมด
( Your Whole World change over night ..and all of your priorities change immediately )
นอกจากนั้นแล้ว เขายังต้องเรียนรุ้สิ่งใหม่ๆ อีกมากมาย เช่นเรื่องการแต่งตัวให้ลูก (เรียกเสียงฮา)
เขากล่าวถึงตัวเอง และ ภรรยา เคลซี่ (Kelsey) ว่าทั้งคู่ต่างทำงานที่บ้าน เป็นผู้ประกอบการส่วนตัวเอง
เคลซี่ พัฒนาหลักสูตรโยคะ ออนไลน์ ส่วนตัวเขาเองเป็นนักเขียน ดังนั้น งานที่ต้องเสร็จ ก็คือจำเป็นต้องเสร็จจริงๆ
( Kelsey and I both work from home. We are Enterpreneurs.
Kelsey develops couses online for Yoga Teachers. I am Author.)
ลองสังเกตคำว่า Enterpreneurs ในประโยคนี้นะคะ คำๆนี้เพิ่งมาดังในบ้านเราได้ไม่นานมานี้
ขอแปลว่า ผู้ประกอบการส่วนตัวค่ะ ถ้าเพื่อนๆมีคำขยายความมากกว่านี้ ขอคำแนะนำด้วยนะจ๊ะ :)
หลังจากที่เขาผ่านวันเวลาอันยุ่งมากๆ จนแทบบ้า มาได้หลายสัปดาห์ เขาเริ่มมีความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา และน่าจะเป็นความรู้สึกของ พ่อ แม่ มือใหม่ทั่วโลก นั่นก็คือ
"ฉันจะไม่มีอิสระในการทำอะไรอีกแล้ว ชีวิตนี้"
( I am never going to have free time EVER AGAIN )
มันเป็นความรู้สึกที่รบกวนจิตใจเขามาก เพราะว่าสิ่งสำคัญในชีวิตของเขาก็คือ
การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วคราวนี้จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ?
เขาเลยพยายามค้นหา ทั้งจากหนังสือ งานวิจัย และ Website ว่า
ถ้าจะเรียนรู้สิ่งใหม่ให้เร็วที่สุดจะต้องทำอย่างไร ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ?
( How long does it take to acquire a new skill ?)
แล้วก็ได้คำตอบอันน่าตกใจที่ว่าต้องใช้เวลาถึง 10,000 ชั่วโมง !!!
เขาถึงกับอุทานออกมาว่า " NOoooooo " ฉันไม่ได้มีเวลามากมายขนาดน้านนนน
มันหมายถึงการทำงานเต็มเวลาตั้งห้าปี !!! ( 10,000 hours is a full time job for five years )
มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ( They don't match up ) และสุดท้ายเขาก็ได้ค้นพบว่า
หมื่นชั่วโมงที่งานวิจัยบอกมาน่ะ มันสำหรับ การเป็นผู้เชี่ยวชาญ ( Expert-level performance )
กฎหนึ่งหมื่นชั่วโมงนี้ เริ่มมาตั้งแต่ วันที่ศาสตรจารย์ K.Anders Ericsson ก้าวออกจาก มหาวิทยาลัย ฟลอริด้า โดยที่ท่านทำการค้นคว้าในส่วนของ
นักกีฬามืออาชีพ นักดนตรีอาชีพ เซียนหมากรุกอาวุโส
( Professional athletes, World class musicians , Chess grand masters )
และต่อมาที่กฎนี้แพร่กระจายออกไปสู่วงกว้าง นั่นก็เพราะ หนังสือ Best Seller ที่ชื่อ " Outliers : The story of success " โดย - Malcolm Gladwell -
มันได้ถูกบิดเบือนไปมาก จาก หมื่นชั่วโมง สู่จุดสูงสุดของสาขานั้น เป็น สู่ผู้เชี่ยวชาญ
สู่การทำอะไรได้ดี จนกระทั่ง สู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
( Top of an ultra competitive fild ----> Expert of something -----> Good at something
----> to learn something )
ข่าวดีก็คือ สำหรับการเรียนรุ้สิ่งใหม่ๆนั้น กฎหมื่นชั่วโมงนี้ ผิด !!!
จากการที่เขาได้หมกมุ่นกับเรื่องนี้ ทำให้เขาพบงานวิจัยใหม่ และรู้ว่า การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ของคนเราใช้เวลาสั้นกว่านั้นมาก โดยช่วงเวลาที่มีประสิทธภาพมากที่สุดก็คือ ช่วงแรก ของการเรียนรู้ เพราะเราจะตื่นตัว และ เอาใจใส่เป็นพิเศษและเราแทบไม่ได้ใส่ใจ เรื่องของเวลาเลย เราจะใส่ใจแค่ว่า เราทำมันได้ดีขึ้น และ ดีขึ้นเรื่อยๆ มีกราฟที่โด่งดัง ที่ชื่อว่า learning curve อ้างอิงไว้อย่างนั้นด้วย
( สารมารถเสริชหาได้ใน Google ) จนกระทั่งถึงจุดๆ หนึ่งที่การเรียนรู้จะยากขึ้น ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น
คำถามคือ ช่วงเวลาเริ่มแรกที่เส้นกราฟ ชันที่สุด รวดเร็วที่สุดนั้น ใช้เวลาเท่าไหร่ ?
งานวิจัยสรุปว่า " 20 ชั่วโมง" จากการที่คุณไม่รู้อะไรเลย จะกระทั่งถึงจุดที่เข้าใจ และนำไปต่อยอดในการพัฒนาตัวเองได้ ใน 20 ชั่วโมงนี้ หากคุณแบ่งย่อยออกเป็น 45 นาทีต่อวัน ดังนั้นภายในหนึ่งเดือนคุณจะเป็นเจ้าของทักษะบางอย่างที่คุณต้องการ
แต่เพื่อให้การลงทุนเวลา 20 ชั่วโมงของคุณเกิดผลมากที่สุดจำต้องเป็นไปตามเงื่อนไข สี่ขอ้ดังนี้
( 4 Simple steps to rapid skill acquisition )
1. แยกส่วนประกอบของทักษะที่คุณต้องการออกมา ทำให้ไม่ดูยากเกินไปเมื่อมองภาพรวม
( Deconstuc the skill )
2. เรียนรู้ให้พอที่จะต่อยอดสู่การเรียนรู้ด้วยตัวเองอาจมีตัวช่วย 3-5 อย่างเช่น ดีวีดี หนังสือ คอร์สอบรม
( Learn enough to self-correct )
3. ละทิ้งสิ่งขัดขวางการเรียนรู้ เช่น ความฟุ้งซ่าน TV อินเตอร์เนต จงจดจ่ออยู่กับชั่วโมงเรียนรู้ของคุณ
( Remove practice barriers) distraction TV Internet
4. ฝึกเข้าไป อย่างน้อย 20 ชั่วโมง
( Practice at least 20 hours )
เขาเล่าต่อว่า พวกเราไม่มีใครอยากรู้สึกว่า ตัวเองน่าผิดหวัง หรือรู้สึกว่าตัวเองโง่
ความรู้สึกเหล่านี้ ล้วนเป็น บาเรีย ที่ขวางกั้นไม่ให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ดังนั้นกฎ 20 ชั่วโมงนี้จะทำให้คุณก้าวข้ามผ่าน ความรู้สึกแย่ๆ กับตัวเองไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เขาได้ลองทดสอบทฤษฎีนี้ ด้วยการฝึก อูคูเลเล่ ( Ukulele ) โดยเริ่มจาก เป็นเจ้าของอูคูเลเล่สักตัว แล้วเริ่มมองหาเพลงที่เขาอยากเล่นให้ได้
ปรากฎว่า ในหนังสือเพลง มองภาพรวมเห็นมีเป็นร้อยๆ คอร์ด ก็รู้สึกถอดใจแล้ว
แต่ถ้ามองลงใปในแต่ละเพลง ก็จะเห็นว่า แต่ละคอร์ทนั้นมัน ซ้ำไป ซ้ำมา
เอาเข้าจริงๆแล้ว ก็มีเพียงแค่ 4 - 5คอร์ด เท่านั้นที่จำเป็นต้องฝึก - G D Em C -
(ก็เหมือนทักษะ ทุกอย่างนั่นแหละ ที่จำเป็นต้องรู้แค่สิ่งสำคัญไม่กี่อย่างเพื่อไปต่อยอด )
แค่นี้คุณก็จะเล่นเพลง ป๊อบ ในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมาได้เกือบหมดแระ
( You can play pretty much any pop song of the past five decades )
ว่าแล้ว คุณ Josh Kaufman ก็โซโล่ เพลงเมดเล่ ตั้งแต่ ไททานิก / I 'm yours ไปถึง กังนัมสไตล์
( น่ารักมากค่ะ แนะนำให้ดูนะ นาทีที่ 19.25 )
แถมทิ้งท้าย ได้อย่างกินใจอีกว่า
ผมมีความลับจะบอก...
โชว์ที่ผมเพิ่งเล่นผ่านไปให้พวกคุณดู นั่นคือ ชั่วโมงที่ 20 ในการฝึกอูคูเลเล่ของผม ได้จบลงแล้ว
ตามมาด้วย เสียงปรบมือ เป่าปาก ด้วยความชื่นชม
เขาทิ้งท้ายด้วยประโยคเท่ห์ๆ ว่า
" The major barrier to skill acquisition isn't intellectual ... It 's Emotional "
ปราการด่านแรก ที่ขัดขวางการฝึกทักษะ ไม่ใช่ความไม่ฉลาด ...
แต่มันคือ ความรู้สึกของคุณนั่นแหละ
ดังนั้น สิ่งสำคัญมากๆ ก็คือ หาให้เจอซะก่อนว่าอะไรคือ ทักษะที่คุณอยากมี
What turns you on ?
What Light you up ?
แล้วจดจ่อกับ ยี่สิบชั่วโมงนั้นของคุณ
ประโยคสุดท้ายของเขาในวันนั้นคือ HAVE FUN ขอให้สนุกนะคะ ^_______^
ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านจนจบ และมาร่วมเรียนรู้ด้วยกันค่ะ
เรนันท์ สุทธิสว่างวงศ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น