วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

คิดเท่าไหร่ก็ไม่ รู้ หยุดคิด จึงจะ 'รู้' ( หลวงปู่ดุล อตุโล )


จงสังเกต ความคิด ...ที่ผ่านมาทางสมอง
สังเกต จิต...ที่ผ่านมาทางความรู้สึก
จงเป็นเพียง ผู้สังเกตการณ์

# นี่คือเรื่องแต่ง #

เรื่องมันมีอยู่ว่า
ในค่ำคืน ธรรมดา คืนหนึ่ง

คงมีบางคืนล่ะ ที่คนเรานอนไม่หลับ
ไม่หลับ เพราะ ความคิด ที่หมุนวน จนหยุดไม่ได้

ความคิด สร้างได้ง่าย ปรุงแต่งได้ง่าย
หากแต่บางครั้งการหยุดคิด
ไม่เพียงแต่ยากนักหนา แต่ถึงขั้นที่เป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ช่วงเวลา หลายปีที่ผ่านมา กับการฝึกดับ ตัวกู ของกู
( หรือที่เรียกว่า เจริญสติ นั่นแหละ )

ทำให้การผ่อน วาง ความคิด เป็นไปได้ไม่ยากยวด เกินไปนัก
ชั่วโมงก่อนหน้า ที่เราได้มองความคิด ไหลไปเรื่อย
จนสิ้นกำลังไปเอง

แต่จิตไม่ดับได้ง่ายเพียงนั้น.....
ทำอย่างไรได้....ในส่วนนี้ไม่ได้อยู่ในความควบคุม ของเราทั้งหมด

จิต คือ Software ที่ควบคุมสมอง ที่เป็น Hardware อีกทีหนึ่ง

โดย Software ที่ว่านี้ ติดตั้งมาแล้ว ตั้งแต่เราเกิด
ภายในนั้น สามารถ Crack Program คำสั่ง ออกมาได้ 52 ชนิด ( ไม่รวม Bug )
มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งตั้งชื่อให้ว่า เจตสิก ทั้ง 52...
หรือตัวรู้ ทั้ง 52

หนึ่งในนั้น มีพระเอก ที่มีชื่อหล่อเหลาเอาการว่า
" สัมปชัญญะ " คือตัวรู้ปัจจุบัน

ยุคหลังๆ มา มักเหมาเรียกเอาว่า " สติ "
ซึ่งจะถูกติดตั้งให้แก่ สัตว์โลกที่ชื่อว่า มนุษย์ เท่านั้น

โปรแกรมคำสั่ง ทั้ง 52 ตัวนี้ ผสมกันด้วยอัตราส่วนมากน้อย วัดค่าไม่ได้
( เพราะยังไม่มีใคร คิดหน่วยวัดได้ละเอียดเท่าทัน
  ตราบใดที่เรายังไม่หลุดไปจาก Space & Time ปลอมๆนี้ )

ในที่สุดแล้ว จะทำให้เกิดลักษณะของดวงจิตได้ 121 แบบใหญ่ๆ

โดยปรกติ คนเรา จะใช้กำลัง ของสติ ไปเพียงแค่ 1 % ของทั้งหมด

... แต่ในคืนนี้ พลังแห่งสติ กำลังพัฒนาไป...

ความรู้สึกถึงนามธรรมในปัจจุบัน
แน่นอนว่า ไม่ใช่ด้วยสายตา ที่มีข้อจำกัดสารพัด...

นามธรรมที่ว่า มักมี อาการ เคลื่อนไหว ไปมาตลอดเวลา
ไม่แยกแยะ ตามสมมุติของคน หรือความรู้ในอดีต

ไม่รู้ ขม หวาน ดำ ขาว เก่า ใหม่ ใส กังวาน หอม ไหม้ ต่ำ ชั่ว ดี ร้าย รวย จน

เหมือนสายตาของเด็กทารก ที่ไม่รู้สึกรู้สา ต่อสิ่งอันตรายหลายหลาก นอกเขตรั้วบ้าน

หากนั่นเป็นเพียงสิ่งสมมุติของคน ไม่ใช่ รูปปรมัตถ์ ที่แท้
หรือพูดง่ายๆ ว่า เด็กๆ ยังไม่มีตัวกู ของกู
ไม่รู้ สมมุติ ที่ชัดเจน

แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เมฆหมอกแห่งความยึดติด ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น
เมื่อนั้น การรู้เท่าทันปัจจุบัน ก็พร่ามัว.......

ซึ่ง เราเอง ก็พร่ามัวมาเกือบทั้งชีวิต
ไม่ต่างอะไรเลย กับคนทั้งหลายข้างนอกนั่น
แต่ด้วยช่วงขณะสั้นๆ แห่งสติที่ดำเนินต่อเนื่อง

เมื่อขณะ ปัจจุบัน บังเกิด
เวลา...ก็หยุดอยู่เช่นนั้น

สิ่งที่เรารับรู้อย่างโดดเดี่ยว ในเวลาที่ไม่จีรังนี้
ก็ไม่ใช่ สิ่งใหม่ หรือ พิสดารแต่อย่างใด
นั่นก็แค่ " ความจริง "
ที่ตั้งอยู่ดั่งดุมล้อ ที่ขับเคลื่อนกงล้อชีวิตชายหนุ่ม ให้หมุนไป
กับสิ่งลวงๆ เสมือนจริง ทั้งหลาย ภายนอก

ขณะเดียวกันนั้นเอง
เจตสิก อีกตัว ที่ทำหน้าที่รู้อารมณ์ โมหะ ก็เข้ารับ สิ่งที่เข้ามากระทบ
ทางทวาร ตา กาย และใจ ผสมกัน เป็นอารมณ์ ที่มนุษย์ตั้งชื่อให้ว่า "ความเศร้า"

ความ เศร้า ที่ได้ " รู้ "

รู้ว่า จริง ที่เคยคิด คือ มายาคติลวงตา ที่ชัดเจน คมชัด เพียงเท่านั้น
รู้ว่า เลือกได้

แต่ เศร้าตรงที่ ไม่สามารถ " ลืม" ได้
.........................
เวลา ไม่ได้มีอยู่จริง แต่ขึ้นอยู่กับ แสง และ แรงโน้มถ่วง
ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ

สรรพสิ่ง ล้วนอยู่ใต้อิทธิพล ของ แสง ทั้งสิ้น 
ยกเว้น จิต เท่านั้นที่ เดินทางได้เร็วกว่าแสง ( ยังพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ )

ในเมื่อจิต ไม่ยอม ...
ถึงแม้ จะดันทุรังเช่นไร ก็ไม่สามารถ พ้นจาก Space & Time นี้ไปได้

แต่ หากยึดยื้อเราไว้ ด้วยแรงแห่ง ความทรงจำ ความรัก
และ แรง ทางนามธรรมทั้งร้ายดี เกินกว่าที่ วิทยาศาสตร์จะคาดเดา...

  ....เมื่อเวลากาล ของเรา กลับมาทำงานอีกครั้ง....
เนื่องจาก จิตลดความเร็วลง..
ตามสภาพธรรมที่ยังไม่ Clear

สมองซีกซ้าย ของเรา กลับมาทำงานดังเดิม
เสียงจากความทรงจำ ในอดีต
ก็บังเกิดขึ้นในห้วงที่ลึกที่สุด

" ความจริง ปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระ
แต่ก่อนอื่น มันจะทำให้คุณทุกข์ทรมาน "
                        ( เจมส์ เอ การ์ฟีลด์ )


อ้างอิง : การจัดแบ่งจิต ประเภทต่างๆ ตามหลักพระอภิธรรม
จิต มี 89 ประเภท
ว่าโดยพิศดาร คือ จำแนก
มรรค จิต 4 ออกเป็น มรรคจิต 20
ผลจิต 4 ออกเป็น ผลจิต 20
(ตาม ฌานที่มี 5 ประเภท) ก็คือ เพิ่มให้ละเอียดอีก 16 + 16
กลายเป็น 89 + 16 + 16 = 121

คนธรรมดาสามัญอย่างเรา ใช้แค่ 20 ดวงจิตตลอดชีวิต
เป็นอกุศลจิต 12 กับมหากุศลจิต 8
( ทางต่ำมีตั้ง 12  ทางสูงมีแค่ 8 ) ดังนั้น อย่าประมาท Dark Side ของมนุษย์ :)

กลไก การทำงานของจิต คล้ายๆ การอธิบาย ว่า
น้ำประกอบไปด้วย ไฮโดรเจน และ อ๊อกซิเจน
เรามองด้วยตาเปล่าไม่มีทางเห็น อิเลคตรอนวิ่งวน รอบ โปรตรอน แน่นอน

เป็นสิ่งที่ ไม่สามารถนั่งคิด จินตนาการออกมาได้
ตำราว่าไว้เราก็ศึกษาไปตามนั้น

แต่ในทางปฏิบัติหากเรามีจิตที่ละเอียดอ่อนเพียงพอ
เราก็สามารถเห็นการทำงานของจิตได้
 ' ตัวรู้ ' มีอยุ่ในมนุษย์ ทุกคน
และสิ่งนี้ล่ะ เปรียบเสมือน ' กล้องจุลทรรศน์ ' ประจำตัวเรา

พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า บางปัญหา เป็นเพียง อจิณไตย
( เรื่องที่ไม่สามารถใช้ความคิด ไปคิดเพื่อให้ทราบหรือเข้าใจได้ )
 “ ธรรมที่เราตรัสรู้นั้น มีมากมายเหมือนใบไม้ทั้งหมดในป่า
   ส่วนธรรมที่เรานำมาสั่งสอนนั้น   เป็นเพียงส่วนน้อยเหมือนใบไม้เพียงหนึ่งกำมือ "

หลายๆ ความลึกลับในชีวิต จึงเป็นเพียง ใบไม้นอกกำมือเท่านั้น

สำหรับเรา คนตัวเล็กๆ ที่เกิดมาในยุคการสื่อสารไปไวกว่ารถไฟความเร็วสูง

แค่เพียงใบไม้แห้ง บางใบ ที่สามารถสร้างความสงสัยให้เราได้
นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้น ใหม่ๆ ในการค้นพบ ' ใบไม้สำคัญในกำมือ '

ถ้าบทความนี้ ทำให้คุณ เริ่มสงสัย อะไรขึ้นมาเหมือนเราบ้าง
...ก็คงจะดีนะ :)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น