วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Jack Ma Speech Backs Young Hong Kong Entrepreneurs Part 2

มาต่อกันค่ะ

( ฝากติดตามบทความต่อๆไปได้ที่ FB : The Magic Dragon )

https://www.facebook.com/pages/The-Magic-Dragon/680629378695526?sk=timeline



Jack Ma Speech Backs Young Hong Kong Entrepreneurs Part 2
วาทะของ แจ๊ค หม่า สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ฮ่องกง ตอนที่ 2



       ผมจำได้ว่า ผมกับเพื่อนไปที่ ซิลิคอน วัลเล่ย์ เพื่อขอทุนเพิ่มเติม
พวกเราถูกปฏิเสธจาก สามสิบกว่าหน่วยงาน
ไม่มีใครคิดเลยว่ามัน เป็นไอเดียที่ดี ยกเว้นพวกเรา

นี่อาจเป็นอีกเหตุผล ที่ผมไม่เคยเขียน "แผนธุรกิจ" แบบจริงจังเลย
เพราะถ้าอ่านดูแล้ว คงถูกปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแน่ๆ

สิ่งที่ผมเชื่อว่าสำคัญที่สุด มันคือ " ความศรัทธาในสิ่งที่คุณต้องทำให้สำเร็จ ต่างหาก "

         การเดินทางของอาลีบาบา
เรามีสามสิ่งที่ต้องแยกแยะ ตลอดเวลา นั่นคือ
 梦想 ความฝัน
理想 อุดมการณ์
และ 幻想 ความเพ้อเจ้อ (ถ้าในแง่ดี อาจแปลว่าจินตนาการ )

สำหรับความฝัน ทุกๆคนล้วนมีมาตั้งแต่เยาว์วัย
แม่ของผมเคยบอกว่า ตอนเด็กๆ ผมฝันเปลี่ยนไปทุกวัน
บางวันอยากเป็นทหาร วันพรุ่งนี้อยากเป็นตำรวจ

         มีครั้งหนึ่ง ผมเคยสมัครขอทำงานที่ KFC
ใน 24 ผู้สมัครนั้น มี 23 คนที่ได้ มีผมเพียงคนเดียวที่ถูกปฏิเสธ

ตอนผมสมัครตำรวจ ในห้าคน มีสี่คนได้รับเลือก ยกเว้นผม

ดังนั้น ความฝัน เป็นเรื่องที่ดี
แต่มันอาจเป็นไปไม่ได้หากไร้ซึ่งอุดมการณ์

แล้วคำว่า อุดมการณ์ 理想 คืออะไร ?

มันคือ กลุ่มคนที่พร้อมใจสร้างงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน
"เป้าหมาย" ที่ดำเนินไปตามแผน การฝึกฝน และ ลงมือทำอย่างจริงจัง

 ในวันที่ อาลีบาบา ก่อร่างสร้างตัว มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ ความฝัน หรือ ความเพ้อเจ้อ
แต่มันคือ "อุดมการณ์ที่ต้องสำเร็จ"

จากคนมากกว่าหนึ่งโหล ที่มีความศรัทธาร่วมกัน
มีคำมั่นสัญญาว่า จะร่วมหัวจมท้ายกันไปให้ตลอดรอดฝั่ง

หากคุณมีความฝัน จงถามตัวเองว่า
" คุณยืนหยัดเพื่อมันมากพอหรือยัง คุณลงมือทำมากพอหรือยัง "

หากคุณมีอุดมการณ์ จงถามตัวเองว่า
" คุณเจอกลุ่มคนที่พร้อมจะบรรลุเป้าหมาย ไปพร้อมกับคุณหรือยัง "

ความล้มเหลวนั้น มีเหตุผลคล้ายกันมากมาย
ขณะเดียวกัน ความสำเร็จก็มีสาเหตุ ของม้น

เพื่อนผมหลายคนที่เคยฉลาดๆ กลับสติปัญญาถดถอยลงเมื่อเรียนMBA
ทำไมน่ะเหรอ ?

คอร์ส MBA มัวแต่ยก Case Studies ว่า ใครต่อใคร สำเร็จได้อย่างไร

มันทำให้คุณรุ้สึกดี ว่าได้มีความรู้ ได้รู้เรื่องความสำเร็จ

แต่ผมกลับเรียนรู้ได้มากกว่า จากประสบการณ์ ความผิดพลาด

ผมเห็นหนังสือมากมาย มัวแต่พูถึงเรื่องที่ว่า
Jack Ma นำ อาลีบาบา ไปสู่ความสำเร็จได้อย่างไร

ผมขอบอกจาก "ก้นบึ้งของหัวใจ" เลยว่า
พวกเราทั้ง 18 คนล้วนเคยผิดพลาดมากมาย
พวกเราเรียนรู้ และ แก้ไขความผิดพลาดของตัวเองตลอดเวลา
นั่นทำให้ อาลีบาบา มีวันนี้

และอีกสิ่งหนึ่งที่ Jack Ma พูดถึงเสมอคือ "จงอย่าหลงระเริงในความสำเร็จ"

เขายกตัวอย่างอาลีบาบา ว่า ถึงแม้วันนี้ ทั่วโลกต่างยอมรับ ชาวจีนล้วนภูมิใจ
แต่สำหรับตัวเขาแล้ว อาลีบาบา ยังเพิ่มเริ่ม ยังอ่อนเยาว์นัก
อยู่ในธุรกิจได้เพียง 15 ปี

หากมีคนสรรเสริญ เยินยอ ยกตำแหน่ง "สุดยอด" ให้
เขาจะคิดเสมอว่า  ไม่มีทางที่จะมีอะไรเป็นที่สุด

แต่หากมีคนบอกว่า คุณยังไม่ดีพอ นั่นแหละ ที่เค้าจะรู้สึกว่ามัน OK :)

15  ปีของอาลีบาบา เราเรียนรู้ จากข้อผิดพลาด และ ไม่เดินตามรอยเท้าใคร

เขาสรุปปิดท้ายว่า ทั้งหมดข้างต้นคือ มุมมองแรกของเขา
ที่เขาไม่เคยคิดเลยว่า อาลีบาบาจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เพราะหากเทียบกับคนรุ่นใหม่วันนี้แล้ว
ไม่มีอะไรที่เขาจะเทียบได้เลย

มุมมองที่สอง ก็คือ " ความสำเร็จนั้นสั้น แต่ราคามี่ต้องจ่ายนั้นแพง "

15 ปี ของอาลีบาบา ผ่านอุปสรรคมามากมาย
เวลาที่คุณมองคนที่ประสบความสำเร็จ คุณไม่รู้หรอกว่า
พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง ...ความล้มเหลว ผิดพลาด ความกดดันมหาศาล
ยามไม่มีเงินทุน ยามที่ต้องแบกหน้าไปขอร้อง อ้อนวอนคู่ค้า

ราคาที่ต้องจ่าย ระยะทางขรุขระ ที่ต้องเผชิญ
มันมาก และ ยาก เกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้

ดังนั้น อย่าประเมินความสำเร็จ อย่างสวยหรูดูง่ายดายมากไป
ยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่ คุณมีราคาที่ต้องจ่าย มีควาทรับผิดชอบที่ต้องใช้
มากยิ่งกว่าคนทั่วไปมากเท่านั้น 

( แต่ถ้าคุณก้าวข้ามมาอีก สเตป เช่นผมตอนนี้แล้ว คุณจะสบายขึ้นมาก ^^
  ...พูดมาซีเรียส อยู่ดีๆ ก็มาหยอดมุข ซะงั้น นี่ละ สเน่ห์ ของคุณ Jack )


มุมมองที่สามคือ " โอกาส นั้น ยุติธรรมสำหรับทุกๆคน "

เขายกตัวอย่างช่วงเวลาในอดีต ที่เขาถูกปฏิเสธ เป็นร้อยๆ ครั้ง
ตั้งแต่ วัยเรียน จนถึงวัยทำงาน ...
ในตอนนั้น เขาชะเง้อมอง คนที่สำเร็จในโลกหลายคน เช่น บิลเกต
เขาไม่เคยคาดฝันเลยว่า จะเป็นแบบนั้นได้

จนกระทั่งเวลาผ่านมาถึง วันนี้

ในวันที่เขาเทียบชั้น "ระดับโลก" แล้ว
ในใจเขาเกิด พุฒิปัญญา ขึ้นมาว่า
ความจริงแล้ว มนุษย์เราไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่

ถ้ามองจากระยะไกล คุณจะเห็นความต่างมหาศาล
แต่ในระยะใกล้นั้น แทบจะเหมือนกันเลยทีเดียว
( นี่มันหลัก สัมพัทธภาพ ของไอสไตน์ หรือเปล่าเนี่ย  ^^' )

อยากรู้ความลับที่ทำให้เราใกล้ คนที่สำเร็จขึ้นมั้ย ผมสรุปให้สามข้อ

1. ผู้นำธุรกิจทุกคนมองอนาคตในแง่บวกเสมอ

2. พวกเขาไม่เคยเสียเวลาบ่น หรือเรียกร้อง แต่จะหาทางแก้ปัญหา

3. พวกเขามีความ "ดื้อ" ( กัดไม่ปล่อย ) มากกว่าคนทั่วไป


เขายกตัวอย่างประโยค 
 " Even a pig can fly When the wind is blowing "
แม้แต่หมูก็ยังบินได้ หากว่าลมแรงมากพอ


มีข้อคิด สองอย่างในประโยคนี้คือ

1. คุณต้องคว้าโอกาสไว้ อย่าวิ่งหนี แม้แต่ก้าวเดียว
    ( เขาแอบหยอดว่า แต่หมูส่วนมาก ต่อให้พายุพัดผ่านซึ่งๆ หน้าก็ยังมองไม่เห็น )

2. หากคุณยังเป็นหมูต่อไป เมื่อลมแรงหยุดพัด คุณจะตกลงมา "ตาย"

    ดังนั้น สิ่งสำคัญเมื่อได้รับโอกาส นั่นคือ " การปรับตัวให้ดีขึ้นเสมอ "

ก่อนจะปิดท้าย เขาออกตัวว่า เขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ หรือ นักเศรษฐศาสตร์
แต่จะขอพูดถึงเรื่อง " ความเปลี่ยนแปลง และการปรับตัว "

เขากล่าวว่า อนาคตของมหนุษย์อีก 30 ปีข้างหน้า จะมีสองสิ่งที่เค้าคาดว่าเกิดแน่

1. การปฎิวัติอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ
    จะปลดปล่อยพันธนาการทางด้านอายุขัย ของคนตลอดไป.

2. ผลิตภัณฑ์แทบทั้งหมด ของโลกจะมีมาตรฐานเดียวกัน ทุกสิ่งจะกลายเป็น mass product


เจนเนอเรชั่นต่อไป จะก้าวเร็วเกินกว่าที่คุณคาดคิด
คุณอาจคุยกับ เด็กรุ่นลูก รุ่นหลานคุณไม่รู้เรื่องอีกแล้ว

คนรุ่นใหม่ มาทดแทนคนรุ่นเก่า นั่นคือสัจธรรม

ข้อคิดสุดท้ายที่เขาได้ฝากไว้ก็คือ

เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่ เพียงแค่คุณเปลี่ยนแปลงตัวเอง
โลกใบนี้ ก็จะหมุนตามคุณ

" อย่ามัวแต่มีฝัน ในยามค่ำคืน แล้วตื่นตอนเช้าก็มีชีวิตแบบเดิมๆ "



กราบขอบคุณสำหรับ ทุกคำพูดค่ะ

Jack Ma>>> อีกหน้าของตำนาน บุคคลระดับโลก


ขอบอกเลยว่า มีตอนหนึ่งของคลิปนี้ เรารู้สึกว่า แจค พูดเสียงสั่น ....

เราแอบน้ำตาคลอเลยล่ะ !!

ทายกันถูกไหมคะ ว่าเป็นช่วงที่เขาพูดถึงเรื่องอะไร :)















2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณผู้แปลที่นำเรื่องนี้มาแชร์ครับ เป็นประโยชน์ต่อผู้มีความฝันของตัวเองมากครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณมาก สำหรับกำลังใจค่ะ ( จะได้มีแรงเขียน ตอนต่อไป :))

      ลบ