วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เว้นวรรคเพื่อสมาธิ คืนชีวิตสู่สมดุลย์



ลึกเข้าไปกลาง ซอยสุขุมวิท 66
ท่ามกลาง ความวุ่นวาย ใจกลางเมืองหลวง ฉันมาเริ่มต้นวันใหม่ ด้วยกาแฟ อเมริกาโน ร้อน ๆ บรรยากาศโดยรอบเป็นสวนร่มครื้ม จัดแบบ English Cottage มีเสียงนกร้องเบา ๆ ฉันเลือกนั่งในโซน Out door กลางสวน สูดกลิ่นหญ้าอ่อน ๆ เข้าเต็มปอด
ปิดอินเตอร์เน็ต ปิดเรื่องราว ที่รอจัดการทั้งหลายไว้สัก 2 ชั่วโมง อยู่กับตัวเอง เอาเท้าไปเหยียบหญ้าบ้าง มองท้องฟ้าสักนิด แล้วคว้ากระดาษกับพู่กันจีน ขึ้นมา วาดอะไรสักอย่างลงไป ... เพื่อลองสังเกต ความรู้สึก และลมหายใจของเราเอง
นี่คือวันพิเศษ !
(วันธรรมดา ก็เหมือนมนุษย์ทำงานบ้าน ๆ ทั่วไปล่ะค่ะ)
ในหนึ่งเดือนเราควรมีวันแบบนี้ สักหนึ่งครั้ง ที่จะให้รางวัล สำหรับการทำงาน ด้วยการสร้างสมาธิ
นั่งลงทบทวนดูว่า มีอะไรสำคัญ ที่เราหลงลืมไปหรือเปล่า ในระหว่างเส้นทาง Hi Speed สายนี้ สังคมของการทำงานแบบทุนนิยม ยกย่อง ส่งเสริมให้ ทุกคนมีแรงผลักดันในตัวเองสูงๆ รวมถึง จัดการเวลาให้รวดเร็วที่สุด
เพื่อมาขับเคลื่อนองค์กร หลายครั้ง หากเรารู้ไม่เท่าทัน แรงผลักดัน อาจกลายเป็น แรงกดดัน ความรวดเร็ว จะกลายมาเป็น ความเร่งรีบ และจะยิ่งน่ากลัว หากมองเห็นความกดดัน เร่งรีบ ที่ผิดปรกตินั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ เค้าก็ทำกัน !
มันจะทำให้เรา เคยชิน และ ติดยึด กับความผิดปรกตินั้น โดยไม่รู้ตัว... ลืมไปหรือยังคะ ว่าตอนเด็กๆ เคยมีความสุขได้ง่ายขนาดไหน?
Unsplash / Pixabay
แล้ววันนี้ล่ะ ?
มันเป็นเพราะอะไรกันนะ ?
เวลาที่เราติดยึด กับอะไร มันคือสภาพจิตใจที่ไม่เป็นอิสระ...
เหมือนเวลาที่เราสายตาสั้นลงเรื่อย ๆ 100 ...200.... 800........เราชินกับมัน
จนเราลืมไปแล้วว่า วันที่สายตาปรกติชัดแจ๋ว มันเป็นยังไงกันนะ ?
ข่าวดีที่ฉันคิดว่า ใช่ก็คือ...
ชีวิตเราสามารถกลับไปชัดแจ๋วได้ โดยไม่ต้องพึ่งแว่นสายตาที่ใส่ภายนอก นั่นก็คือ ต้องตื่นขึ้นมาสู่ความปรกติ ที่เราเคยมีมาให้ได้ แล้วจิตใจและร่างกาย จะพบกับความสดใสอีกครั้ง
Make your mind Free
in order to welcome Real things coming to you all the time
>> The Matrix 1999

คำถามคือ ทำอย่างไร ?

คนที่เคยวิ่งเร็วมาก ๆ เวลาที่จะเข้าสู่สภาวะที่จะหยุดได้ ก็ควรค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง จากวิ่งเร็ว เป็นวิ่งเหยาะ ๆ มาเป็นเดิน แล้วค่อย ๆ ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง... (เคยวิ่งเร็วมาก ๆ แล้ว หยุดทันทีไหมคะ ..หัวจะทิ่ม เอาง่าย ๆ นะ)
ผู้บริหาร และนักลุงทุน มืออาชีพหลายท่าน ล้วนเข้าใจในความจริงข้อนี้ จึงยกให้ การเจริญสติ เป็นงานหลักของชีวิต ! สำหรับฉันเอง หรือพวกเราที่ยังไม่อาจเข้าถึง ความลึกซึ้งในระดับนั้น ก็สามารถ เข้าถึงความสงบ ในระดับที่ยังอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
  • หลายคน เจริญสติ ผ่านการฝึกโยคะ (ซึ่งเป็นมากกว่า Performance Art)
  • หลายคน เข้าคอร์ส ปฎิบัติธรรม
  • หลายคนแค่ ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ในห้องที่เงียบสงบ
  • หลายคน ฝึกสติผ่านกิจกรรม ขี่ม้า ยิงธนู กระทั่ง ออกเดินทางลำพัง
  • อีกหลายคน เจริญสติผ่านการทำงานบ้าน !
วันนี้ ขออนุญาต เล่าย้อนไป ในวันที่ฉันเข้าใจ สภาวะสุขสงบที่เรียกว่า "สมาธิ" จากการ "เขียนพู่กันจีน" ค่ะ
ฉันรู้จักสภาวะของ "สมาธิ" เป็นครั้งแรก ตอนเรียนอยู่ ป.4- ป.5 จากการที่ อาม่า ( คำเรียก คุณย่าในภาษาจีน ) "จ้าง" บ้าง "หลอกล่อ" บ้าง ให้ฉันช่วยคัดลอกบทสวดมนต์ภาษาจีน(คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่า เก็ง) เพราะว่า ตัวหนังสือในนั้นช่างเล็กมาก อาม่าแก่แล้ว ตามองไม่ค่อยเห็น
ตลอดช่วงปิดเทอมใหญ่ ฉันนั่งคัดลายมือภาษาจีน แทบทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่สนุกเลย สำหรับเด็กเล็กๆ แต่เพราะว่า อาม่า ชอบทำตัวน่าสงสาร และ แถมมีสตางค์ มีของเล่น มาหลอกล่อตลอด ฉันก็เลยอดทนทำไป บ่นบ้าง งอนบ้าง ตามประสาเด็ก
แต่ก็ยังทำไปตลอด…
เขียนไปเรื่อย ๆ ทุกๆ วัน
สุข ก็ทำ ทุกข์ ก็ทำ
(ภาษาทางธรรมเรียกว่า อุเบกขา หรือ การวางเฉย / เพิ่งมาทราบตอนโต)
จนในที่สุด เมื่อจิตนิ่งเข้าไป ในตัวหนังสือแต่ละตัว ใจก็สงบ และมีความสุข อย่างประหลาด
ตอนนั้น ฉันยังเด็กมาก อธิบายอะไรไม่กระจ่างนัก รู้แต่ว่า พอจำสภาวะได้แล้ว หลังจากนั้น ไม่ว่าจะต้องทำเรื่องอะไร จะยาก จะง่าย จะเกลียด จะชอบ แค่ไหน ถ้ามัน จำเป็น ฉันก็แค่ ทำไปเรื่อยๆ
เพราะมั่นใจแล้วว่า ถ้าจิตและใจ นั้นนิ่งกับสิ่งนั้นๆ ไปเรื่อยๆ อีกสักพัก สภาวะ สุข สงบ แบบนั้น ก็ต้องมาอีกแน่ ๆ หรือที่เค้าเรียก กันว่า สมาธิ นั่นล่ะ และ นี่ก็คือ "หัวใจ" ของการเรียน และคือ หัวใจ ของการปลุกปั้นงานสำคัญ ให้สำเร็จ เลยทีเดียว!
ฉันเพิ่งมารู้ซึ้งในภายหลังว่า อาม่าของ ตัวเองมีจิตวิทยาสูงมาก ที่สอน สมถะกรรมฐานทางอ้อม ให้แก่เด็กตัวเล็ก ๆ ให้ได้รับไปโดยไม่รู้ตัว
ต่อมาอีกไม่นาน พอฉันเริ่มหัดเขียนพู่กันจีน อาม่า ก็มาอ้อนให้เขียน ลอก จาก บทสวดอีกตามเคย (อ้างว่า ตัวพิมพ์มันแข็งทื่อ ไม่สวยเลย อาม่าไม่ชอบเลย)
ถ้าใคร ที่เคยลองหัดเขียนภาษาจีน หรือ วาดรูปด้วยพู่กันจีน จะเข้าใจได้ดี ว่าความใจร้อน หงุดหงิด ของเรา มักจะฟ้องออกมาที่ลายเส้น
และที่โหดร้าย ก็คือ มันลบไม่ได้ !!
ผิดแล้วก็ต้องเริ่มต้นทำใหม่หมด เขียนมาดีๆ ทั้งหน้า แต่ถ้ามาเขียนเลอะเทอะ เขียนซึมเอาตัวสุดท้าย .. ก็จบกัน
สิ่งนี้ เป็นกระจกสะท้อนให้เห็น จิตใจ ของเรา ว่า ขณะนั้นเป็นอย่างไร …พลุ่งพล่านแค่ไหน หยาบกระด้าง หรือละเอียดพอแล้ว
พอโตขึ้น เวลาที่ฉันอยู่ในสภาพ ที่ งง เบลอ จิตใจสับสนไม่มั่นคง ถ้าไม่ลืม ก็จะหยิบ พู่กัน กระดาษ และ น้ำหมึก ออกมา แล้วก็ ละเลง ลงไป … เดี๋ยว ก็เห็นเองล่ะ "จิตใจ" ของเรา
不要向你的身外觅求真理,
因为真理就在你的身体里面,
此外无处可觅。
อย่าหาสัจธรรมจากภายนอก เพราะสัจธรรมที่แท้จริงนั้นอยู่ภายในตัวคุณ ไม่สามารถหาได้จากภายนอก
ขอให้ ทุกท่านค้นพบรอยต่อ ที่เป็นสะพาน เชื่อมโลกภายนอก และโลกภายใน ของตัวเองให้พบนะคะ เพื่อคืนชีวิต สู่ความสมดุลย์
ชีวิต เรียบๆ ง่ายๆ ....ที่เคลื่อนไปเรื่อยๆ อย่างสง่างาม และมีสติ :)
Kissrain Aey เรนันท์ สุทธิสว่างวงศ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น